หากพูดถึง Google Trends เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยิน หรือคุ้นหูคุ้นตากับเจ้าเครื่องมือตัวนี้ของ Google มาบ้างอย่างแน่นอน เพราะเครื่องมือตัวนี้เป็นเครื่องมือที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ฟรีที่เว็บไซต์ Google Trends จึงให้หลาย ๆ คนนำข้อมูลจาก Google Trends ไปใช้ประกอบการสนับสนุน หรือการนำเสนองานของตัวเอง วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Google Trends ให้ลึกขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่เราจะได้เข้าใจว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และมีดีในแง่มุมไหนบ้าง

Google Trends คืออะไร?

Google Trends คือเครื่องมือชนิดหนึ่งของ Google ที่ให้ผู้ใช้สามารถดูได้ว่าคนค้นหา “Keyword” ประโยค หรือคำที่เราต้องการดูมากมายแค่ไหน โดยสิ่งที่คนค้นหานั้นเราจะเรียกว่า “Search Terms” แล้วนำมาเปรียบเทียบตามช่วงเวลาที่เรากำหนด เพื่อให้เห็นแนวโน้มการค้นหาว่า คนทำการค้นหามากน้อยแค่ไหน ในช่วงไหนบ้าง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลง อย่างเช่น หากเราอยากรู้ว่า มีคนค้นหา Search Terms ที่มีคำว่า มารีญา ว่ามีคนค้นหาเยอะขนาดไหนในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราสามารถใส่คำนี้ลงไปเพื่อดูแนวโน้มที่เกิดขึ้นดังเช่น กราฟด้านลางนี้ซึ่งเราจะเห็นได้ว่ากราฟดีดขึ้นในช่วงสิงหาคมที่ผ่านมา จากกรณีการวิพากวิจารณ์ทางการเมืองของมารีญานั้นเอง

Google Trends มีฟังก์ชันอะไรให้เราใช้งานบ้าง?

เมื่อเราใส่ข้อความหรือ Search Terms ที่เราอยากจะเช็คลงไปแล้วนั้นเรา (1) เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะดูการค้นหาเกิดขึ้นที่ประเทศไหน (2) เราต้องการเปรียบเทียบข้อมูลย้อนหลังนานเท่าไหร่ (3) หมวดของหัวข้อที่เราต้องการดู (4) และสุดท้ายเลือกได้ว่าการค้นหานั้นเกิดขึ้นจากอะไร เช่น เว็บไซต์หรือ YouTube (5) โดยฟังก์ชั่นหลักๆที่ Google Trends สามารถทำได้มีดังนี้

เปรียบเทียบจำนวนการค้นหาของ Search Terms โดยเราสามารถใส่ข้อความได้สูงสุด 5 คำเพื่อแสดงการค้นหาเปรียบเทียบกัน ตัวอย่างเช่น เราอยากรู้ว่าคนให้ความสนใจกับร้านค้าเจ้าใดมากที่สุดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งจากกราฟด้านบนเราจะเห็นเส้นเปรียบเทียบการค้นหา Retails ว่ามากน้อยแตกต่างกันอย่างไร ใครสูงใครต่ำในช่วงใดบ้าง รวมถึงเห็นภาพรวมว่าใครน่าจะได้รับความนิยมมากน้อยกันตามลำดับซึ่งการเปรียบเทียบแบบนี้สามารถทำให้เรา Explore แง่มุมต่าง ๆ จนทำให้สามารถเข้าใจคู่แข่ง และตัวเราเองมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเลือกหัวข้อที่คนให้ความสนใจมมากที่สุดได้

เราสามารถเจาะข้อมูลในเชิงพื้นที่ได้อีกว่าคำที่เราใส่ลงไปนั้นถูกค้นหาพื้นไหนหรือจังหวัดไหนมากที่สุด อย่างตัวอย่างด้านล่าง เราจะเห็นว่า Shopee นั้นถูกค้นหามากที่สุดโดยมีคนค้นหากระจายอยู่ทั่วทุกพื้นในประเทศไทย แต่ในพื้นที่ภาคกลางและภาพใต้บางจังหลัด กลับมีการค้นหาคำว่าโลตัสมากกว่า ซึ่งการรู้ว่าคนค้นหาเราในพื้นที่ไหนนั้นจะช่วยทำให้เราเข้าใจกลุ่มลูกค้าของเรามากยิ่งขึ้นว่าเป็นใครรวมถึงสามารถวางแผนการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพราะเราสามารถเลือกลงโฆษณาได้เฉพาะบริเวณที่มีคนให้ความสนใจมากกว่าเมื่อเทียบกับที่อื่น

นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถดูเจาะลึกต่อไปได้อีกว่า Search Terms ที่เราใส่ลงไปนี้คนมักจะหาเรื่องไหนควบคู่กันไป ผ่านฟังก์ชั่น Queries เช่น คนมักจะค้นหาคำว่า วัตสันคู่กับคำว่าเจลล้างมือ ซึ่งเราสามารถสันนิษฐานได้ว่าค้นกำลังต้องการสินค้านี้จากวัตสันอย่างมากนั้นเอง ซึ่งเคล็ดลับในการรู้ว่า Context อื่น ๆ ที่ร่วมอยุ่ด้วยคืออะไรนั้น คือการพยายามใช้คำที่กว้างเอาไว้ก่อนเผื่อที่เราจะได้เห็นบริบทคำรอบ ๆ นั้นได้กว้างยิ่งขึ้น เช่น กาแฟ, ลดน้ำหนัก และอาหารคลีน เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าฟังก์ชั่นต่างๆที่ Google Trends สามารถทำได้ ให้ข้อมูลบางอย่างที่น่าสนใจอย่างมากซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ใช้เลยว่าจะนำข้อมูลที่ได้เหล่านี้ไปใช้งานได้อย่างไร ฉะนั้นเราจะมาอธิบายให้ฟัง Google Trends นี้มีประโยชน์อย่างไรบ้าง

Google Trends เครื่องมือสารพัดประโยชน์?

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ผู้อ่านคงจะเห็นประโยชน์ของ Google Trends ไปบ้างแล้วว่ามีดีอย่างไร แต่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นเราจะมาบอกเล่าให้ฟังว่า Google Trends นี้มันมีประโยชน์ในเชิงปฏิบัติอย่างไรบ้างกับการทำ Marketing ภาคปฏิบัติ!

เราสามารถเห็น Trends ของผู้บริโภค ผ่านการค้นหาเหล่านี้ได้ว่าสินค้าบางอย่างจะเป็นที่ต้องการช่วงไหนโดยการอนุมานจากจำนวนการค้นหาในช่วงเวลาที่กราฟขึ้นสูงมาก ๆ เช่น ประกัน ที่คนมักจะซื้อในช่วงสิ้นปี หรือมีการระบาดของโรค ดังเช่นกราฟข้างล่างนี้ ที่การค้นหาประกันขึ้นเพิ่มสูงอย่างมากเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 นั่นเอง

นอกจากนี้แล้วเรายังสามารถดู Megatrend หรือแนวโน้มการบริโภคความสนใจของผู้บริโภคได้อีกด้วยว่าตอนนี้คนสนใจอะไร ทำอะไร กินอะไร ซึ่งจะทำให้เราสามารถ

- ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้ทั้งในแง่ของสินค้า
- สร้างคอนเทนต์ เนื้อหา รวมถึงการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในช่วงเวลานั้น ๆได้

เราสามารถใช้ Google Trends ในการศึกษาตัวเอง และคู่แข่งของเราในตลาดเดียวกัน การดูเทรนด์การค้นหาแบรนด์ของเราบน Google สามารถบอกได้ว่าคนให้ความสนใจเรามากน้อยแค่ไหน และคนมักจะสนใจเราในเรื่องใด นอกจากนี้เมื่อเทียบกับคู่แข่งแล้วเรามีการค้นหามากหรือน้อยกว่าคู่แข่งตัวเองอย่างไร ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลที่ได้ตรงนี้จะยิ่งทำให้เราเข้าใจปัญหาที่เรากำลังเผชิญ รวมถึงสิ่งที่เราจะต้องแก้ไขเพื่อให้ธุรกิจของเรานั้นเติบโตไปข้างหน้ามากขึ้นกว่าเดิม
สามารถทำ Keyword Analysis เบื้องต้นเพื่อนำไปช่วยในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างที่ทราบแล้วว่าการ Google Trends สามารถบอกเราได้คร่าวๆ ว่า “คำไหน” “เรื่องไหน” และแม้กระทั่ง “ในช่วงเวลาไหน” ที่คนให้ความสำคัญกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เราสามารถวางแผนได้ว่า
เราควรซื้อ Keyword ไหนมากกว่ากัน หรือ หัวข้อไหนที่ควรใช้มากกว่ากัน เช่น ระหว่างคำว่า สิตางค์บัวทอง หรือ สิตางค์ ส้มหยุด เป็นต้น เพื่อให้มี Traffic มาที่เว็บของเรามากที่สุดจากจำนวนการ Search
ช่วงเวลาไหนที่เราควรทำและใช้เงินเพิ่มขึ้นในการทำ SEM หรือควรเริ่ม Active บนโลกออนไลน์มาก ๆ เช่นคำว่าแต่งงาน (ดูกราฟด้านล่างประกอบ) ที่เห็นได้ว่า คนดูมีความสนใจในการค้นหาตลอดทั้งปี แต่จะมีช่วงเวลาที่คนให้ความสนใจเป็นช่วง ๆ ตามกราฟที่ขึ้นสูงซึ่งนั่นอาจเป็นโอกาสที่เราสามารถเข้าไปสร้าง Visibility ให้คนสนใจเราได้นั้นเองไม่ได้จำเป็นจะต้อ รอช่วงใดช่วงหนึ่ง

นอกจากนี้ฟังก์ชัน Queries ที่แสดงผลว่าคำที่เราสนใจแ ละคนค้นหานั้นมักจะถูกค้นหาหรือสนใจควบคู่กับคำใดหรือเรื่องใดซึ่งเราสามารถใช้ Context อื่นๆ มาเป็นแนวทางในการทำ SEM ที่คุ้มค่า (เพราะมีราคาต่ำกว่าคำค้นหาตรง ๆ ที่มีการแข่งขันสูงมากนั้นเอง

สรุป: Google Trends

โดยสรุปแล้วนั้น Google Trends ก็เป็นเครื่องมือในการดูแนวโน้มหรือเทรนด์ในการค้นหาของคนตามช่วงเวลาซึ่งก็มีลูกเล่นมากมายให้เราสามารถหยิบจับปรับใช้เพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อตัวเรารวมถึงธุรกิจของเรา ฉะนั้น Google Trends จึงเป็น Tools ง่ายๆ ที่ทุกคนควรเรียนรู้ที่จะใช้เป็นตัวแรก ๆ เพื่อให้เข้าใจในพฤติกรรมการค้นหาของคน และข้อมูลที่ได้นี้ก็มีประโยชน์มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้จะไปปรับใช้อย่างไร ทั้งการวางแผน Keyword Search เบื้องต้น การวิเคราะห์ตัวเองและคู่แข่ง รวมถึงการพยายามเข้าใจความต้องการผู้บริโภค กระนั้นการใช้ Google Trends เพียงอย่างเดียวก็คงไม่พอ ยังคงจำเป็นที่จะต้องมีการใช้เครื่องมืออื่น ๆ เพิ่มเติมควบคู่กันไป เช่น Google Keyword Planner ซึ่งจะยิ่งช่วยทำให้การวางแผน และการทำความเข้าใจต่อสิ่งที่กำลังทำอยู่กระจ่างขึ้นไปอีกขั้น และถ้ายิ่งได้ผู้ช่วยที่มีความเข้าใจ ความเชี่ยวชาญพร้อมใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างมืออาชีพเต็มประสิทธิภาพก็จะยิ่งทำให้เป้าหมายทางธุรกิจเป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ถ้าหากคุณสนใจ https://minimicegroup.com ก็พร้อมจะให้บริการด้วยทีมงานคุณภาพที่จะมาจุดไฟความเก่งให้กับแบรนด์ของคุณได้

GOOGLE TRENDS คืออะไร? พร้อมวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล